เทรนด์ท่องเที่ยวกำลังเปลี่ยนไป จากการเดินทางเพื่อพักผ่อน กลายเป็นการเดินทางที่ใส่ใจทุกอย่างมากขึ้น ทั้งต่อธรรมชาติ ผู้คน และวัฒนธรรมท้องถิ่น มาดูกันว่าทำไมการท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟูถึงสำคัญ และได้รับความสนใจอย่างมากในตอนนี้
ทำไมเทรนด์ “การท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟู” ถึงน่าจับตาในยุคนี้
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกำลังเปลี่ยนไปในทิศทางที่ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบและผลกระทบต่อพื้นที่มากขึ้น ซึ่งหนึ่งในแนวคิดที่น่าจับตามองก็คือ การท่องเที่ยวแบบฟื้นฟู (regenerative travel) ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นวิธีคิดใหม่ในการเดินทาง
แล้วการท่องเที่ยวแบบฟื้นฟูคืออะไร?
พูดง่าย ๆ คือ การท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นการช่วยฟื้นฟูและพัฒนาสถานที่ที่เราไปเยือนให้ดีขึ้น ไม่ใช่แค่รักษาสภาพเดิมไว้ แต่ตั้งใจทำให้สิ่งแวดล้อม ชุมชน และวัฒนธรรมท้องถิ่นได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง แตกต่างจากการท่องเที่ยวแบบมวลชนที่มักทิ้งร่องรอยไว้โดยไม่ตั้งใจ
แนวคิดนี้จึงมุ่งให้เรา “เดินทางแบบมีจิตสำนึก” และทำให้สถานที่เหล่านั้นยังคงน่าอยู่ น่าเที่ยว และยั่งยืนต่อไปในระยะยาว
การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน Vs. การท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟู

การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน คือการชะลอไม่ให้สถานที่พังเร็ว แต่การท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟูคือการลงมือ “ซ่อมแซม” และ “เติมชีวิต” ให้ที่เที่ยวกลับมาสดใสกว่าเดิม
The New York Times เคยเขียนไว้ว่า “การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนก็แค่อย่าทำเละ” แต่ถ้าเป็นแนวฟื้นฟูก็คือ “เราทำให้มันดีกว่าเดิมได้ไหมเพื่อคนรุ่นหลัง”
Regenerative Travel หรือการท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟู ไม่ใช่แค่เที่ยวแบบกรีน ๆ หรือแค่หาที่คนไม่พลุกพล่าน แต่มันคือแนวคิดที่บอกว่านักท่องเที่ยวเองก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย ไม่ใช่แค่มาแชะถ่ายรูปแล้วจากไป แต่ต้องช่วยดูแลพื้นที่นั้น ๆ ให้ยังอยู่รอดไปได้อีกนาน

ภาพที่สื่อถึงการท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟู อาจเป็นนักท่องเที่ยวที่กำลังช่วยเก็บขยะริมชายหาด หรือร่วมกิจกรรมฟื้นฟูธรรมชาติ ขณะที่ภาพของการท่องเที่ยวยั่งยืน (sustainable travel) อาจแค่เป็นนักท่องเที่ยวยืนริมทะเล พร้อมถือขวดน้ำใช้ซ้ำได้เฉย ๆ
พูดง่าย ๆ คือภาพของ regenerative travel ต้องแสดงให้เห็นการมีส่วนร่วม เห็นการ “ลงแรง” เพื่อดูแลสถานที่นั้น ๆ ไม่ใช่แค่รักษาสิ่งแวดล้อมเฉย ๆ แต่เป็นการช่วยให้มัน “ดีขึ้น” กว่าตอนที่มาพบเจอ

จะเล่าเรื่อง “การท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟู” ผ่านภาพยังไงดี?
แนวคิดนี้ฟังดูยิ่งใหญ่ แถมยังใหม่อยู่พอตัว แต่ตอนนี้ก็เริ่มเห็นกันบ้างแล้วว่ามันจะมีหน้าตาเป็นยังไง มีหลายจุดที่เริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ และช่วยให้เราจินตนาการออกว่า เทรนด์การท่องเที่ยวแบบนี้มันน่าสนใจยังไง และกำลังจะพาเราไปทางไหนบ้าง

Low-Footprint Travel
การบินคือตัวปล่อยคาร์บอนแบบจัดหนักถึง 12% ของมลพิษจากการขนส่งทั้งหมด ส่วนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็ไม่น้อยหน้า โดยสูงถึง 8% ของการปล่อยก๊าซทั่วโลก มากกว่าการก่อสร้างอีกด้วย

ภาพที่หลายคนอยากเห็นคือรูปแบบการเดินทางสุดคูลหลากหลายสไตล์ ทั้งปั่นจักรยาน รถไฟ เดินเท้า เรือใบ แล้วก็รถไฟฟ้า แบบนี้แหละที่เรียกว่าการเที่ยวแบบยั่งยืนและเก๋ไก๋ในยุคนี้
Community Oriented
การท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟูให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ไม่ต่างจากการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ภาพที่สื่อถึงเทรนด์การท่องเที่ยวนี้จึงควรเน้นไปที่ผู้คนที่เป็นหัวใจของสถานที่นั้น ๆ ให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ คนในชุมชนที่มีปฏิสัมพันธ์กับนักท่องเที่ยว ชนพื้นเมือง รวมถึงสถานที่พบปะ เช่น ศูนย์ชุมชน ตลาด แหล่งสำคัญสาธารณะ หรือโบสถ์ เป็นต้น

Supporting Local Business
พลังของเงินในกระเป๋าของเรา มีผลต่อการสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นอย่างชัดเจน เวลาที่เราเดินทางออกไปนอกชุมชน การเลือกซื้อของจากท้องถิ่นจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก นักท่องเที่ยวจึงถูกส่งเสริมให้เลือกซื้อของแท้จากชุมชนนั้น ๆ

ภาพที่ควรสื่อออกมาคือวิธีที่เราใช้จับจ่ายในขณะเดินทาง เช่น นักท่องเที่ยวกำลังซื้อสินค้าทำมือจากช่างฝีมือท้องถิ่น งานศิลปะที่มีการมีส่วนร่วม ธุรกิจขนาดเล็ก หรือตลาดท้องถิ่น แทนที่จะเป็นห้างสรรพสินค้า ร้านแบรนด์ดัง หรือร้านค้าในสนามบิน รวมถึงสินค้าหรือวัสดุที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสถานที่นั้น ๆ เช่น ผ้าไทย อาหาร หรือขนม เป็นต้น
Indigenous Perspectives
ในหลายภูมิภาคทั่วโลก ชนพื้นเมืองเป็นผู้ดูแลผืนดินและท้องทะเลของตนเองมาอย่างยาวนาน พวกเขามีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและดูแลพื้นที่ให้คงอยู่อย่างยั่งยืน เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป

ดังนั้นในการถ่ายทอดเรื่องราวหรือภาพถ่ายที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟู การให้พื้นที่แก่ชนพื้นเมืองและยอมรับในบทบาทของพวกเขา จึงเป็นสิ่งที่สำคัญและไม่ควรมองข้าม
Tourism Employees and Industry
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า หัวใจของการท่องเที่ยวแนวนี้อยู่ที่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว และคนในอุตสาหกรรมเป็นหลักก็จริง แต่นักท่องเที่ยวเองก็เป็นส่วนสำคัญในสมการนี้เช่นกัน

ที่ผ่านมา ภาพการท่องเที่ยวมักเน้นไปที่ตัวนักท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่ถ้าเป็นการท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟู เราควรเห็นความสำคัญของ “ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง” อุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วย ไม่ว่าจะเป็นคนขับรถบัส มัคคุเทศก์ พนักงานโรงแรม พนักงานต้อนรับ พ่อครัว แม่ครัว หรือพนักงานเสิร์ฟ ทุกคนล้วนเป็นฟันเฟืองสำคัญของประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ยั่งยืน
Small Groups and No Crowds
การท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟูไม่เน้นเที่ยวแบบแออัด แต่ส่งเสริมให้กระจายตัวออกไปสำรวจพื้นที่อื่น ๆ ในชุมชนหรือจุดหมายที่เราไป แทนที่จะกรูกันไปถ่ายเซลฟี่ในที่ ๆ เดียว นักท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟูจะถูกชวนให้มองหาประสบการณ์ที่ต่างออกไป อาจจะเป็นที่ที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก ที่กำลังต้องการรายได้จากนักท่องเที่ยว หรือที่ที่สามารถต้อนรับเราได้อย่างยั่งยืน ไม่กระทบต่อชุมชนหรือธรรมชาติจนเกินไป

หากคุณกำลังมองหาภาพถ่ายที่สะท้อนแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟู ทั้งในแง่ของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การส่งเสริมชุมชน และประสบการณ์การเดินทางอย่างยั่งยืนจาก Shutterstock สามารถติดต่อการใช้งานภาพเหล่านั้นได้ที่ Number 24
Inbox : http://m.me/number24.co.th
LINE Official Account : https://line.me/R/ti/p/@klj9484n
Instagram : https://www.instagram.com/number24.co.th
Website : https://number24.co.th/