ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจ หรืออยากทำแคมเปญการตลาดรูปแบบใหม่ ๆ ให้แบรนด์กลับมาปัง คู่มือนี้คือเคล็ดลับที่รวมทุกเคล็ดลับและเครื่องมือที่คุณต้องใช้ เพื่อวางกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลแบบชนะใจลูกค้าและคู่แข่งในสนามเดียวกัน Digital Marketing ช่วยคุณได้อย่างไรมาดูกัน
การวางกลยุทธ์ Digital Marketing คืออะไร? สำคัญอย่างไรกับแบรนด์?

ไม่ว่าคุณจะอยากเพิ่มยอดขาย ปั้นแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก หรือเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแบบตรงจุด กลยุทธ์ Digital Marketing คือหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล
ทุกวันนี้ใคร ๆ ก็ขายของออนไลน์ คู่แข่งเพียบ ลูกค้าก็ฉลาดขึ้นทุกวัน เลื่อนนิ้วแป๊บเดียวเจอสินค้าเหมือนกันเป็นสิบ ๆ เจ้า เพราะงั้น Digital Marketing เลยไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่เป็น “ทางรอด” ที่จะช่วยให้แบรนด์ของคุณโดดเด่น ทะลุฟีดข่าว และเข้าตาคนที่ใช่
Digital Marketing ช่วยขยายเสียงของคุณให้ดังกว่าเดิม พาสินค้าหรือบริการไปถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ และที่สำคัญคือช่วยให้คุณสร้างแบรนด์ที่คนไว้ใจ และอยากกลับมาซื้อซ้ำอีกเรื่อย ๆ
แต่จะเริ่มต้นยังไงดี? ต้องมีเพจ Facebook ไหม? โพสต์ใน X (Twitter เดิม) ดีมั้ย? IG จำเป็นหรือเปล่า? แล้ว Blog จะต้องเขียนมั้ย? คำถามมีอยู่เต็มหัวและนั่นคือเหตุผลที่เราทำคู่มือ Digital Marketing นี้ขึ้นมา
เพราะผู้บริโภคสมัยนี้เขาไม่รอให้ใครมาอธิบาย เขาเปรียบเทียบเอง กดสั่งเอง ข้ามแพลตฟอร์มได้ทันที และคาดหวังประสบการณ์ที่ง่าย เร็ว และเป็นมิตรแบบไม่ต้องสอนใช้
กลยุทธ์ Digital Marketing ในยุคนี้จึงต้อง “เข้าใจลูกค้า” และ “ไปหาเขาให้เจอ” ไม่ว่าจุดไหนของการตัดสินใจซื้อ ตั้งแต่สนใจนิด ๆ ไปจนถึงจ่ายเงินเรียบร้อย
เราอยากให้คุณมีแผนที่ชัด มีไอเดียปัง ๆ และเครื่องมือที่ใช้ได้จริง ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มธุรกิจออนไลน์ หรืออยากรีแบรนด์แคมเปญให้กลับมาคึกคัก เราจะพาคุณไปเข้าใจ Digital Marketing แบบครบสูตร ต่อยอดได้ทันที ไม่ต้องนั่งงง ไม่ต้องหาข้อมูลเพิ่มให้ปวดหัว
เพราะการตลาดที่ดีในยุคนี้ไม่ใช่แค่ขายได้ แต่ต้องสร้างสัมพันธ์ สร้างแบรนด์ และสร้างความประทับใจที่ยั่งยืน
เริ่มต้นวางกลยุทธ์ Digital Marketing ให้ปังตั้งแต่ก้าวแรก

ก้าวแรกของการสร้างธุรกิจ ไม่ใช่แค่เปิดร้านแล้วขายเลย แต่ต้องเริ่มจากคิดโมเดลรายได้ กำหนดภาพลักษณ์แบรนด์ให้ปัง สร้างตัวตนออนไลน์ให้คนเห็นชัด ๆ แล้วก็ต้องตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับกลยุทธ์ Digital Marketing ของคุณด้วย
ก่อนจะเริ่มขายของบนโลกออนไลน์ สิ่งที่ห้ามมองข้ามคือการตั้งเป้าหมายธุรกิจที่ทั้งท้าทายและทำได้จริง ไม่ใช่หวังลม ๆ แล้ง ๆ ทางที่ดีคือแบ่งเป้าหมายเป็นระยะสั้นกับระยะยาว และถึงเวลาที่กลยุทธ์เด็ดของเราอย่าง SMART จะเข้ามาช่วยให้คุณวางแผนได้แบบมือโปร ไม่พลาดเป้าแน่นอน
SMART ย่อมาจากคำว่า Specific (เจาะจง), Measurable (วัดผลได้), Achievable (ทำได้จริง), Relevant (เกี่ยวข้องกับเป้าหมาย) และ Time-Bound (มีกรอบเวลาชัดเจน) สูตรลับนี้ช่วยให้การตั้งเป้าหมายของคุณไม่ใช่แค่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ แต่เป็นแผนที่จับต้องได้และเดินตามได้จริง
Specific (เจาะจง)
เป้าหมายของคุณต้องชัดเจน ไม่ใช่แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เริ่มจากถามตัวเองว่า “ทำไมเป้าหมายนี้ถึงสำคัญ?” “ฉันอยากทำอะไรให้สำเร็จ?” “ต้องใช้อะไรบ้างถึงจะไปถึงเป้านั้นได้?” ตอบคำถามเหล่านี้ได้ก็เหมือนได้เข็มทิศชัด ๆ แล้วว่าต้องเดินไปทางไหน
Measurable (วัดผลได้)
จะได้ไม่หลงทางและยังมีแรงฮึดตลอดทาง คุณต้องติดตามความคืบหน้าและวัดผลให้ได้ ลองถามตัวเองว่า “ต้องทำให้ได้เท่าไหร่?” “ต้องสำเร็จกี่ชิ้น?” “จะรู้ได้ยังไงว่าเป้าหมายสำเร็จแล้ว?” การวัดผลนี่แหละคือเครื่องมือสำคัญในกลยุทธ์ Digital Marketing ของคุณ
Achievable (ทำได้จริง)
ต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง ว่าเป้าหมายนี้ทำได้จริงไหม? มีทรัพยากรพอไหม? มีอะไรที่อาจเป็นอุปสรรคบ้าง? รู้ตัวไว้แต่เนิ่น ๆ จะได้วางแผนรับมือทัน
Relevant (เกี่ยวข้อง)
เป้าหมายนี้ต้องสอดคล้องกับภาพใหญ่ เช่น เป้าหมายระยะยาวของคุณหรือแผนงานโดยรวมไหม? และอย่าลืมดูเรื่องเวลาว่าเหมาะสมหรือเปล่า เป้าหมายนี้ตอบโจทย์ในตอนนี้หรือยัง
Time-Bound (มีกรอบเวลา)
การกำหนดเวลาชัดเจน สำคัญไม่แพ้กันคือเป้าหมายระยะสั้น เช่น รายวัน รายสัปดาห์ ที่จะช่วยให้คุณไม่หลุดจากเส้นทาง เขียนเป้าหมายพร้อมกำหนดเวลากับแต่ละงานไว้ แล้วเดินหน้าไปให้เต็มที่
เอา SMART ไปใช้จริงในธุรกิจจริงจัง
ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ต้องตั้งเป้าหมายธุรกิจให้ชัดเจนและละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะจะช่วยให้คุณไม่หลงทางและเดินไปถึงเป้าหมายได้จริง
ตัวอย่างเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ตั้งใจเพิ่มรายได้เป็นสองเท่าในเดือนหน้า หรือเพิ่มยอดผู้ติดตามโซเชียลมีเดียขึ้น 10% ภายในสัปดาห์เดียว
เคล็ดลับคือใช้ “ตัวเลข” และ “กรอบเวลา” เช่น แทนที่จะบอกว่า “อยากขายของ” ให้เปลี่ยนเป็น “จะขายน้ำหอม 3,000 ขวด ในไตรมาสแรกของปี 2026” แบบนี้จะวัดผลได้ชัดเจน
เป้าหมายที่คลุมเครืออาจทำให้คิดว่ากำลังไปได้ดี ทั้งที่ไม่รู้ว่าก้าวหน้าแค่ไหน ดังนั้นควรรู้จำนวนที่ต้องทำให้ได้อย่างชัดเจน
ก่อนเริ่มขาย ควรรู้ว่าคู่แข่งทำอะไรและมีความต้องการของตลาดหรือไม่ ถ้าเขียนแผนธุรกิจควรมีข้อมูลและการวิเคราะห์รองรับ
ข้อมูลจริง ๆ จะช่วยได้มากที่สุด ถ้าคุณขายออนไลน์มาสักพัก ลองดูยอดขายปัจจุบันเป็นฐาน แล้วตั้งเป้าหมายให้เหมาะสม
ถ้าขายหนังสือ อย่าคาดหวังว่าจะสู้กับ Amazon ได้ตั้งแต่ไตรมาสแรก ให้หา คู่แข่งที่ขนาดใกล้เคียง แล้วหาจุดแข็งที่ทำให้คุณเหนือกว่าแทน เป็นต้น
รู้จักลูกค้าอย่างแท้จริง

การเริ่มต้นสร้างธุรกิจ ควรโฟกัสที่การวางโมเดลสร้างรายได้ กำหนดตัวตนและเอกลักษณ์ของแบรนด์ รวมถึงสร้างตัวตนบนโลกดิจิทัลให้ชัดเจน พร้อมตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นไปได้จริง
ไอเดียดี ๆ เป็นแค่จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ แต่ธุรกิจที่ทำกำไรได้จริง ต้องเข้าใจสินค้าและบริการของตัวเองอย่างลึกซึ้ง รวมถึงรู้จักลูกค้าเป้าหมายและสามารถเชื่อมโยงกับพวกเขาได้
เพื่อให้ธุรกิจเติบโต คุณควรทำวิจัยตลาด หาให้เจอว่าใครคือกลุ่มเป้าหมาย รู้จักลูกค้าให้มากขึ้น และรับฟังความคิดเห็นจากพวกเขา เพื่อปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ
การวิจัยตลาด (Market Research)
ก่อนที่คุณจะเริ่มขายสินค้า สิ่งสำคัญคือคุณต้องเข้าใจสภาพตลาดอย่างลึกซึ้ง รวมถึงรู้ว่าใครคือกลุ่มลูกค้าของคุณ ตรงนี้แหละที่การวิจัยตลาดเข้ามามีบทบาท
การวิจัยตลาดที่ดีจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ว่า
- ผู้คนยินดีจะซื้อของที่เราขายไหม?
- ใครคือคู่แข่งของเรา?
- ยังมีปัญหาอะไรที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งเราสามารถเสนอทางออกให้ได้?
- คนยินดีจะจ่ายเท่าไรเพื่อแลกกับทางออกนั้น?
- ทางออกของเราเจาะกลุ่มกว้าง, กลุ่มเฉพาะ หรือเป็นนิชมาร์เก็ตแบบแคบสุด ๆ?
- ลูกค้าใช้งานผ่านหน้าร้านหรือออนไลน์?
- ตอนนี้ในตลาดมีทางเลือกอื่น ๆ ที่ลูกค้าเคยคาดหวังไว้แบบไหนบ้าง?
คำถามเหล่านี้เป็นแค่จุดเริ่มต้น พอคุณลงลึกเรื่องกลุ่มเป้าหมายและการแข่งขันจริง ๆ คุณจะต้องใช้ผลจากการวิจัยตลาดมาวิเคราะห์และต่อยอดไปอีกหลายประเด็น
จริง ๆ แล้วการวิจัยตลาดมีหลายระดับ ตั้งแต่แบบทำเองยันจ้างบริษัทเก็บข้อมูลโดยเฉพาะ ซึ่งบางแบบอาจมีค่าใช้จ่ายสูงมาก คุณอาจจะเลือกจ้างบริษัททำแบบสำรวจ ใช้บริการของบริษัทที่เชี่ยวชาญด้าน Data Mining หรือจะทำเองก็ได้ ลองดูว่าแนวทางไหนเหมาะกับคุณที่สุด
สิ่งหนึ่งที่คุณต้องรู้แน่ ๆ คือ ลูกค้าในอุดมคติของคุณใช้เวลาอยู่ที่ไหนในโลกออนไลน์ เว็บไหนที่เขาเข้าเป็นประจำบ้าง? นั่นแหละจะบอกได้ว่าคอนเทนต์หรือสินค้าประเภทไหนที่เขาสนใจ
พยายามดูด้วยว่าภาพหรือการตลาดแบบไหนที่กลุ่มเป้าหมายของคุณตอบสนองได้ดี การพูดกับนักศึกษามหาวิทยาลัย กับผู้บริหารวัย 40 ปี ภาษาที่ใช้ โทนของการสื่อสาร ไปจนถึงภาพประกอบ ก็จะเปลี่ยนไปหมดเลย
สรุปคือ การวิจัยตลาดควรตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ และให้ภาพรวมของแนวโน้มในตลาดตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องทำก่อนเริ่มธุรกิจ เพราะการเริ่มอะไรโดยไม่มีตลาดรองรับ อาจกลายเป็นการลงทุนที่เสียเปล่า
แต่ก็ไม่ต้องกลัวไป เพราะมีหลายกรณีที่ธุรกิจเริ่มต้นด้วยไอเดียหนึ่ง แล้วพอทำการวิจัยเพิ่มก็เปลี่ยนทิศทางใหม่จนประสบความสำเร็จอย่างมากก็มีให้เห็นเยอะแยะ
การระบุกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณ (Identifying Your Target Customer)
มาถึงจุดนี้ การวิจัยตลาดน่าจะช่วยให้คุณรู้แล้วว่าคนสนใจสิ่งที่คุณเสนอหรือไม่ และพอจะเห็นเค้าลางว่าคนแบบไหนที่น่าจะเป็นลูกค้าของคุณ ตอนนี้ถึงเวลาขุดลึกลงไปอีกขั้น เพื่อเข้าใจ “ลูกค้าเป้าหมาย” ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา มีอะไรบ้าง?
- อายุ
- เพศ
- เชื้อชาติหรือภูมิหลังทางวัฒนธรรม
- รายได้คร่าว ๆ
- ความสนใจทั่วไป
การสร้างบุคลิกของลูกค้า (Buyer Personas)
เมื่อคุณเริ่มมีข้อมูลในมือแล้ว ก็ถึงเวลาสร้าง “บุคลิกของลูกค้า” หรือ Buyer Personas ขึ้นมา การกำหนดตัวตนสมมุติของกลุ่มลูกค้าที่พบบ่อย จะช่วยให้คุณวางแผนการตลาดได้แม่นยำขึ้น
ลองสร้างโปรไฟล์ลูกค้าสัก 3–4 แบบ แล้วใช้โปรไฟล์เหล่านี้เป็นแนวทางทุกครั้งที่คุณจะสื่อสารอะไรออกไป ไม่ว่าจะเป็นข้อความ โฆษณา หรือคอนเทนต์ต่าง ๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณกำลังพูดกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์อย่างถูกจุด
การขอความคิดเห็นจากลูกค้า (Soliciting Feedback)
อย่าคิดว่าหน้าที่คุณจบแค่ตอนลูกค้าจ่ายเงินซื้อของไปแล้ว เพราะ “ประสบการณ์ของลูกค้า” ที่ดี ควรมีการขอความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้า/บริการด้วย แบบสอบถามที่เขียนดี จะช่วยให้คุณเข้าใจเป้าหมายทางธุรกิจของตัวเองได้ชัด โดยใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีของลูกค้า
คุณสามารถฝังแบบสอบถามลงในเว็บไซต์ผ่านปลั๊กอินต่าง ๆ หรือจะส่งทางอีเมลหลังการสั่งซื้อ หรือหลังจากลูกค้าลงทะเบียนรับจดหมายข่าวก็ได้ คำถามควรสั้น กระชับ และเปิดให้ตอบแบบอิสระ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่หลากหลายและมีคุณภาพ
ข้อมูลย้อนกลับคือขุมทรัพย์ในการปรับปรุง
ฟีดแบ็กที่ได้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยตลาดเลยทีเดียว คุณจะเริ่มเข้าใจว่าอะไรทำให้ลูกค้าเลือกคุณ จุดแข็งของคุณอยู่ตรงไหน และจุดไหนที่ยังต้องพัฒนา
กระบวนการนี้ควรทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ทำครั้งเดียวจบ
หลายบริษัทถึงขั้นแจกสินค้าหรือบริการฟรีในช่วงเริ่มต้น เพื่อให้ได้ข้อมูลฟีดแบ็กเร็วที่สุดว่าอะไรเวิร์กหรือไม่เวิร์กสำหรับลูกค้า
สุดท้าย ฟีดแบ็กเหล่านี้ควรเป็นเข็มทิศนำทางทั้งเรื่องการพัฒนาสินค้า/บริการ และ การปรับปรุงการทำงานภายในธุรกิจของคุณด้วย
รู้จักคู่แข่งให้ชัด ก่อนจะลงสนาม

ถ้าอยากประสบความสำเร็จ คุณต้องรู้ก่อนว่ากำลังสู้กับใคร ในอดีตการหาคู่แข่งอาจง่ายกว่าเยอะ แต่ทุกวันนี้เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กหรือฟรีแลนซ์ไม่ได้แข่งกันเองอย่างเดียวแล้วนะ ยังต้องชนกับบริษัทใหญ่ ๆ ด้วย
แผนธุรกิจที่เป็นทางการมักจะมีส่วนที่พูดถึง “คู่แข่ง” เสมอ คุณต้องรู้จักทั้งคู่แข่งทางตรง และบริษัทอื่น ๆ ที่อาจทำให้บริการหรือสินค้าของคุณกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็น
ใครคือคู่แข่งของคุณ?
วิธีที่ง่ายที่สุดในการวิเคราะห์คู่แข่งคือ ค้นหาออนไลน์ด้วยคีย์เวิร์ดที่ธุรกิจของคุณใช้
เช่น ถ้าคุณขายเครื่องประดับแฮนด์เมด ก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้มีคุณคนเดียวในตลาดนี้ แต่ถ้าคุณไม่ได้มีทุนหลักล้าน โอกาสที่คุณจะสู้กับบริษัทเล็ก ๆ ที่ขายของบน Amazon หรือ Etsy ก็มีมากกว่าเจอบริษัทยักษ์ใหญ่
เริ่มต้นด้วยการลิสต์รายชื่อ “คู่แข่งทางตรง” ที่ใหญ่ที่สุดของคุณก่อน จากนั้นให้ดู “คู่แข่งทางอ้อม” ด้วย พวกนี้คือบริษัทที่ขายสินค้าหรือบริการอื่น ๆ ที่อาจทำให้ลูกค้าไม่ต้องใช้ของคุณอีก
ลิสต์ไว้ทั้งสองกลุ่ม แล้วลองคิดแนวทางรับมือ เช่น ถ้าลูกค้ากำลังเปรียบเทียบกับบริการแบบอื่น คุณจะตอบคำถามหรือข้อกังวลของเขาได้ยังไง?
วิเคราะห์ธุรกิจของคู่แข่งยังไงดี?
มีหลายวิธีที่ช่วยให้คุณรู้ว่าคู่แข่งทำอะไรอยู่ และคุณจะใช้จุดอ่อนของเขาให้เป็นประโยชน์ได้ยังไง เริ่มจากส่องเว็บไซต์ของคู่แข่งดูทีละหน้า แล้วจดสิ่งที่เขาทำไว้
- สังเกตสิ่งที่ “ยังขาดในตลาด” ที่คุณอาจเติมเต็มได้
- ถ้ากล้าหน่อยก็ลองติดต่อคู่แข่งโดยตรง (หรือให้คนอื่นทำแทนก็ได้) เพื่อดูว่าขั้นตอนการขายของเขาเป็นยังไง
- ขอราคา หรือถ้าทุนพอ ก็ลองสั่งของจากเขาดูเลย จะได้เห็นภาพครบว่าประสบการณ์ลูกค้าเป็นยังไง
ถ้าคุณทำธุรกิจออนไลน์ นี่จะง่ายขึ้นเยอะ ลองทำแบบเดียวกันกับคู่แข่งอีก 2–3 ราย และอย่าลืมเทสต์ว่า ถ้าเติมสินค้าใส่ตะกร้าแล้วออกจากเว็บโดยไม่จ่าย จะเกิดอะไรขึ้น? เพราะธุรกิจ e-commerce ที่ดี มักมีระบบติดตามลูกค้าที่ทิ้งตะกร้าไว้
คู่แข่งลงทุนด้านไหน?
พอคุณรู้ว่าใครคือคู่แข่งหลักแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือดูว่า เขาทุ่มเงินไปกับอะไรบ้าง โดยเฉพาะด้านการตลาด เช่น เขาลงงบกับโฆษณาแบบ PPC (pay-per-click) หรือโฟกัสที่โซเชียลมีเดีย?
ข้อมูลพวกนี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพว่า กลยุทธ์ไหนที่เขาใช้ และคุณจะปรับหรือพัฒนาให้ดีกว่าได้ยังไง
ลองใช้เครื่องมืออย่าง SimilarWeb เพื่อดูสถิติทราฟฟิก และพฤติกรรมผู้ใช้ของคู่แข่ง (มีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน) จะช่วยให้คุณวางแผนได้แม่นขึ้น
วิเคราะห์คอนเทนต์ของเขาให้ลึกต่อไปลองเจาะลึกดูว่าเขาสื่อสารยังไงกับลูกค้าทั้งคอนเทนต์และภาพ
- เข้าไปดูทั้งเว็บไซต์และโซเชียลของคู่แข่ง แล้วจดความแตกต่างของแต่ละแพลตฟอร์ม
- สังเกตว่าเขาใช้คอนเทนต์แบบไหนเป็นหลัก เช่น ใช้อินโฟกราฟิกเยอะ หรือเน้นบทความยาว ๆ แบบเจาะลึก
- ให้ความสนใจกับภาพที่ใช้ ภาพที่สะท้อนประสบการณ์ของลูกค้าในอุดมคติ เช่น คนกลุ่มไหนปรากฏในภาพ? ตรงกับ buyer personas ของคุณไหม? เป็นคนวัยไหน เชื้อชาติแบบไหน?
ลองสรุปสิ่งที่เขาสื่อสารทั้งหมดเป็นประโยคง่าย ๆ สัก 1–2 ประโยค แล้วถามตัวเองว่า “คู่แข่งของฉันอยากให้ผู้ชมเข้าใจอะไรจากคอนเทนต์ของเขา?”
คำตอบนี้จะช่วยให้คุณวิเคราะห์กลยุทธ์การตลาดโดยรวมของเขา แล้วคุณจะเลือกได้ว่า จะต่อยอดจากไอเดียเขา หรือจะเบนทิศไปจับตลาดที่ยังไม่มีใครแตะ
หา “คอนเทนต์ที่ปังที่สุด” ของคู่แข่งให้เจอ
พอได้ภาพรวมแล้ว ลองหาโพสต์หรือบทความของคู่แข่งที่คนชอบมากที่สุด แล้วดูว่าเพราะอะไรถึงเวิร์ก เพื่อวิเคราะห์คอนเทนต์ที่ถูกแชร์บ่อย ๆ ในอุตสาหกรรมของคุณ
ถามตัวเองว่า
- เขาให้คอนเทนต์ที่นำไปใช้ได้จริงไหม?
- เขาเขียนสนุก เข้าใจง่าย หรือเปล่า?
- เขานำเสนอสินค้า/บริการตรงประเด็น ไม่เยิ่นเย้อใช่ไหม?
แยกองค์ประกอบของคอนเทนต์ที่ดีที่สุดออกมา แล้วดูว่าคุณสามารถ “หยิบแรงบันดาลใจ” หรือ “พัฒนาให้ดีกว่า” ได้ตรงไหนบ้างในการทำคอนเทนต์ของตัวเอง
การเลือกช่องทางการตลาด และการวัดผลความสำเร็จ

นอกจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon หรือ Etsy แล้ว ยังมีช่องทางโซเชียลมีเดีย SEO โฆษณาแบบ PPC คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง วิดีโอมาร์เก็ตติ้ง และอีเมลมาร์เก็ตติ้งอีกด้วย
แล้วควรใช้กี่แพลตฟอร์มดี?
ตัวเลือกเยอะจนงงไปหมด เพราะถ้าเป็นสื่อแบบดั้งเดิมก็มีแค่ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ แต่พอเป็นออนไลน์ โลกเปิดกว้างจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว คำตอบสั้น ๆ คือ ขึ้นอยู่กับ “ลูกค้า” และ “งบประมาณ” ของคุณ
ทุกวันนี้ ถ้าอยากอยู่รอดในตลาดออนไลน์ ทุกอย่างต้องเริ่มจากลูกค้า
– ลูกค้าอยู่ที่ไหน เราก็ต้องลงทุนทำการตลาดที่นั่น
– แล้วค่อยดึงทราฟฟิกกลับมาที่เว็บไซต์ เพื่อเก็บลีดหรือปิดการขาย
แต่อีกอย่างที่ต้องคำนึงคือ “งบ” ถ้ามีงบเยอะ จะกระจายการตลาดไปทุกช่องทางที่ลูกค้าอยู่ก็ไม่เสียหาย แต่ถ้าเพิ่งเริ่มต้น ยังมีข้อจำกัดเรื่องเงิน ก็ให้เริ่มจาก 1–2 แพลตฟอร์มที่เวิร์กที่สุด แล้วค่อยขยายต่อเมื่อธุรกิจเติบโต
ดีกว่ามากถ้าคุณ “ปังในบางที่” มากกว่า “อยู่ทุกที่แต่ไม่มีใครเห็น” ทุกธุรกิจออนไลน์ควรมีเว็บไซต์เป็นหลัก แล้วเลือกโฟกัสเพิ่มอีก 1–2 ช่องทางที่เข้ากับกลุ่มเป้าหมายของคุณ
โซเชียลมีเดีย (Social Media)
ยุคแรกของโซเชียลมีเดีย การสร้างฐานแฟนง่ายกว่าตอนนี้เยอะ แต่ทุกวันนี้ โลกของโซเชียลกลายเป็นสนามโฆษณาแบบเสียเงินไปแล้ว ต้องคอยอัปเดตตลอด เพราะอัลกอริธึมเปลี่ยนบ่อยมาก
- Facebook มีผู้ใช้เกือบ 40% ของโลก แต่ถ้าอยากให้โพสต์เข้าตาคนจริง ๆ ต้องใช้โฆษณา แม้คุณจะมีแฟนเพจอยู่แล้วก็ตาม
- X (ชื่อเดิมคือ Twitter) ก็เป็นอีกช่องทางที่น่าสนใจ มีผู้ใช้ราว 650 ล้านคน จุดเด่นคือสื่อสารแบบเรียลไทม์ เข้าถึงคนทั่วโลก โฆษณาก็ไม่แพง และเหมาะมากสำหรับการโชว์ “คาแรกเตอร์” ของแบรนด์
- ส่วน LinkedIn, Instagram และ Pinterest ก็เวิร์กมากสำหรับธุรกิจสายครีเอทีฟ หรือร้านค้าออนไลน์
การสร้างฐานผู้ติดตามแบบออร์แกนิก (ฟรี) ยังทำได้ แต่ต้องใช้คอนเทนต์ที่สดใหม่ ครีเอทีฟ และมีคุณค่าจริง ๆ
โฆษณาบน Instagram และ Pinterest
การลงโฆษณาแบบ Promoted Pins (Pinterest) หรือ Instagram Ads ใช้ได้ดีในหลากหลายธุรกิจ โดยเฉพาะสายไลฟ์สไตล์ แฟชั่น ความงาม และอาหาร
ตัวชี้วัดสำคัญ (KPIs)
ถ้าคุณอยากรู้ว่าแคมเปญโซเชียลของคุณเวิร์กหรือเปล่า ให้ดูที่ KPI พวกนี้
Engagement (การมีส่วนร่วม): ถ้ามีคนเห็นเยอะ แต่ไม่มีใครกดไลก์ แชร์ หรือเมนต์ แปลว่าคอนเทนต์ของคุณยังไม่โดน วัดได้จาก Clicks, Likes, Shares, Comments
Reach & Visibility (การเข้าถึง): มีคนเห็นโฆษณาคุณเท่าไหร่ แบรนด์ของคุณเด่นพอไหมเมื่อเทียบกับเจ้าอื่น วัดได้จาก Impressions, Traffic, จำนวน Follower
ไม่ว่าคุณจะเลือกทำการตลาดผ่านช่องทางไหน เว็บไซต์คือหัวใจหลัก ของการทำตลาดออนไลน์อยู่ดี
เวลาวางแผนการตลาด ให้คิดว่า “เว็บไซต์” และ “อีเมลมาร์เก็ตติ้ง” คือจุดศูนย์กลางที่จะเชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกัน
คุณควรปรับเว็บไซต์ให้เหมาะกับการเก็บลีด (Leads) โดยการสร้างแบบฟอร์มสมัครรับข่าวสารหรือข้อเสนอพิเศษ ซึ่งให้คุณได้ สิทธิ์ในการส่งอีเมลหาลูกค้าในอนาคต
SEO คืออะไร?
SEO (Search Engine Optimization) คือการทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหาบน Google หรือ search engine อื่น ๆ เพื่อให้ลูกค้าใหม่หาคุณเจอ
การทำ SEO มีทั้งสองด้าน คือ
1. Content SEO (เนื้อหา)
คือการจัดโครงสร้างของเว็บไซต์และข้อความบนเว็บให้เป็นมิตรกับเสิร์ชเอ็นจิน เช่น
- ใช้ Title Tags ที่เกี่ยวข้องและดึงดูด
- เขียน Meta Descriptions ที่กระชับ ชวนคลิก
- แทรก คีย์เวิร์ดสำคัญ ลงในเนื้อหาและลิงก์ต่าง ๆ
- วางธีมและหัวข้อให้ตรงกับคำที่คนค้นหา
2. Technical SEO (เทคนิค)
คือการดูแลเรื่องโค้ดและโครงสร้างของเว็บไซต์ให้ดี เช่น
- จ้างนักพัฒนาเว็บที่เก่งมาช่วยดูระบบหลังบ้าน
- ทำให้เว็บโหลดเร็วขึ้น
- แก้หน้าที่แสดง 404 (หน้าหาไม่เจอ) ให้ redirect ไปที่เหมาะสม
- เพิ่มคุณภาพของ XML Sitemap ให้เสิร์ชเอ็นจินเข้าใจเว็บของคุณมากขึ้น
ตัวชี้วัดความสำเร็จของ SEO (KPIs)
การวัดผล SEO มีหลายมุม แต่ตัวชี้วัดหลักที่ควรโฟกัส ได้แก่:
- อันดับคีย์เวิร์ด: คุณอยู่ที่อันดับเท่าไหร่เวลาคนค้นหาคำสำคัญ
- อัตราการคลิกจากคีย์เวิร์ด (Click-Through Rate): คนเห็นแล้วกดเข้ามาแค่ไหน
- Domain Authority (คะแนนความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์)
- Conversion Rate (อัตราการเปลี่ยนจากผู้เข้าชมเป็นลูกค้า)
ต้องจำไว้ว่า SEO ไม่ใช่เกมระยะสั้น มันคือการวางตัวตนให้มั่นคงบนโลกออนไลน์ระยะยาว
แล้ว Backlink คืออะไร?
อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญมากใน SEO คือ การได้ Backlink หรือการที่เว็บไซต์อื่น “ลิงก์กลับ” มายังเว็บของคุณ
สิ่งนี้แหละที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และทำให้เสิร์ชเอ็นจินมองว่าเว็บคุณมีคุณภาพ
Quick Sprout เคยบอกไว้ว่า การได้ Backlink ถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่ทรงพลังที่สุด สำหรับอันดับ SEO
ดังนั้น อย่าลืม:
- ติดตาม Backlink ที่คุณมีอยู่
- ใช้แคมเปญการตลาดเพื่อสร้าง Backlink ใหม่ ๆ อยู่เสมอ
ยิ่งมีเว็บดี ๆ ลิงก์มาหาคุณมากเท่าไหร่ โอกาสที่ลูกค้าใหม่จะเจอคุณก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น.
คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง (Content Marketing)
คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งคือแนวทางการตลาดเชิงกลยุทธ์ ที่เน้นการ สร้างและเผยแพร่เนื้อหาที่มีประโยชน์ เหมาะสม และสม่ำเสมอ เพื่อดึงดูดและรักษากลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และสุดท้ายคือกระตุ้นให้เกิดการกระทำที่สร้างรายได้ให้กับธุรกิจ
องค์ประกอบสำคัญของคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง
เนื้อหาที่ดีควรตอบสนองต่อความพึงพอใจของลูกค้า เช่น
- การตอบคำถามที่ลูกค้าสงสัย
- การช่วยแก้ปัญหาหรือความกังวลของลูกค้า (Pain Points)
- การทำความเข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายให้ลึกขึ้น
อีกหนึ่งปัจจัยที่ขาดไม่ได้คือ ความสม่ำเสมอ การปล่อยคอนเทนต์เป็นประจำจะช่วยให้แบรนด์ของคุณอยู่ในใจผู้ชมเสมอ และยังสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือและเป็นผู้นำในสายตาลูกค้าอีกด้วย
ตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPIs)
KPI หรือ Key Performance Indicators คือสิ่งที่ช่วยวัดว่ากลยุทธ์คอนเทนต์ของคุณได้ผลหรือไม่ และสอดคล้องกับเป้าหมายทางการตลาดแค่ไหน KPI ที่เลือกใช้จะขึ้นอยู่กับเป้าหมาย เช่น
- การสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness)
- การสร้างลีดหรือรายชื่อลูกค้าใหม่ (Lead Generation)
- การเพิ่มการมีส่วนร่วม (Engagement)
- หรือการกระตุ้นยอดขาย (Conversions)
โดยหลัก ๆ แล้ว คุณควรติดตามว่า ทราฟฟิกเว็บไซต์เกี่ยวข้องกับคอนเทนต์ที่คุณสร้างแค่ไหน เพราะนั่นคือสัญญาณว่าคอนเทนต์ของคุณเข้าถึงผู้คนได้มากน้อยเพียงใด
ตัวอย่าง KPI ที่ควรติดตาม
- จำนวนผู้เข้าชมหน้าเพจ (Page Views)
- จำนวนผู้เข้าชมหน้า Landing Page
- เวลาที่ใช้บนหน้าเว็บ (Time on Page)
- ระยะการเลื่อนอ่านของลูกค้า (Scroll Depth)
- อัตราตีกลับ (Bounce Rate) ผู้ชมเข้ามาแล้วออกเลยหรือไม่
วิดีโอมาร์เก็ตติ้ง (Video Marketing)
วิดีโอมาร์เก็ตติ้งเป็นวิธีที่ดีมาก ๆ ในการโปรโมตแบรนด์ สินค้า บริการ หรือข้อความที่คุณต้องการสื่อ เพื่อให้เข้าถึงผู้ชมได้ง่ายขึ้น เพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับแคมเปญหรือสินค้าที่กำลังจะเปิดตัว กระตุ้นทราฟฟิก สร้างลีด และท้ายที่สุดคือแปลงผู้ชมให้กลายเป็นลูกค้า
การตลาดแบบวิดีโอถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์การตลาดโดยรวมในยุคนี้ เพราะอย่าลืมว่า สมาธิเฉลี่ยของมนุษย์ปัจจุบันอยู่ที่แค่ 8 วินาที เท่านั้น วิดีโอจึงตอบโจทย์มาก ด้วยข้อดีคือดูง่าย กระชับ เข้าใจเร็ว และจำได้ง่าย
ประเภทของวิดีโอมาร์เก็ตติ้งที่น่าสนใจ
- Explainer videos – วิดีโออธิบายสินค้า/บริการ
- Brand videos – วิดีโอสร้างภาพลักษณ์แบรนด์
- Product demos – วิดีโอสาธิตการใช้งานผลิตภัณฑ์
- Testimonials – วิดีโอรีวิวหรือเสียงจากลูกค้าจริง
- Corporate videos – วิดีโอองค์กรหรือเบื้องหลังธุรกิจ
- Live videos – วิดีโอถ่ายทอดสด
- Behind-the-scenes content – คอนเทนต์เบื้องหลัง
- Social media videos – วิดีโอสำหรับโซเชียลโดยเฉพาะ
ตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPIs)
การติดตามผลของวิดีโอมาร์เก็ตติ้งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะมันจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าแต่ละวิดีโอที่ปล่อยไป มีผลลัพธ์ต่อการเข้าถึง การมีส่วนร่วม และยอดขายแค่ไหน
สิ่งที่ควรวัด เช่น
- จำนวนครั้งที่วิดีโอถูกดู
- เวลารวมที่คนใช้ดูวิดีโอ
- จำนวนไลก์ คอมเมนต์ แชร์
- การกระทำหลังจากดูจบ เช่น คลิกไปหน้าเว็บ หรือสมัครรับข้อมูล
ข้อมูลเหล่านี้มีค่าอย่างมาก เพราะช่วยให้คุณรู้ว่าวิดีโอไหนเวิร์กจริง และควรทำซ้ำหรือปรับปรุงตรงไหน
อีกอย่างที่ไม่ควรมองข้ามคือ การวัด ROI (Return on Investment) หรือผลตอบแทนจากการลงทุนในวิดีโอมาร์เก็ตติ้ง ว่าคุ้มค่าหรือไม่เมื่อเทียบกับต้นทุนที่ลงไป
โฆษณาออนไลน์ / PPC (Online Ads / Pay-Per-Click)
จำโฆษณารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เคยเด้งอยู่ตามเว็บยุคแรก ๆ ได้ไหม? นั่นแหละคือตัวอย่างแรก ๆ ของ โฆษณาออนไลน์แบบ Pay-Per-Click (PPC) ที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ ถึงแม้รูปแบบจะพัฒนาขึ้นมากแล้ว แต่หลักการยังเหมือนเดิมเป๊ะ
PPC คือระบบที่ “ผู้ลงโฆษณาจะจ่ายเงินต่อเมื่อมีคนคลิกโฆษณา” เท่านั้น แพลตฟอร์มที่เป็นเจ้าตลาดตอนนี้คือ Google Ads โดยราคาคลิกจะแตกต่างกันตาม “การแข่งขันของคีย์เวิร์ด” ที่คุณเลือกใช้
ทุกวันนี้โฆษณาออนไลน์ไม่ได้จำกัดแค่แบนเนอร์สี่เหลี่ยมหน้าตาเชย ๆ แล้วเรามีทั้งโฆษณาแบบวิดีโอ แบบแอนิเมชัน และรูปแบบหลากหลายที่รองรับภาพและความละเอียดที่เหมาะกับแต่ละแพลตฟอร์ม
ตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPIs)
การวัดผลโฆษณาแบบ PPC อาจจะ “เรียบง่าย” กว่าบนโซเชียลมีเดีย เพราะมันใช้ตัวเลขล้วน ๆ คุณสามารถวิเคราะห์และปรับโฆษณาให้แม่นขึ้นได้แบบเรียลไทม์
KPIs หลัก ๆ ที่ควรติดตาม ได้แก่:
- จำนวนคลิก (Clicks): วัดตรง ๆ ว่ามีคนคลิกโฆษณากี่ครั้ง
- จำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดง (Impressions): มีคนเห็นกี่ครั้ง
- อัตราการคลิกผ่าน (CTR – Click Through Rate): คำนวณจาก “จำนวนคลิก ÷ จำนวนการแสดงผล” ยิ่งเปอร์เซ็นต์สูง ยิ่งแปลว่าโฆษณาน่าสนใจ
- อัตราการแปลง (Conversion Rate): เปอร์เซ็นต์ของคนที่คลิกแล้ว “ทำบางอย่าง” เช่น ซื้อของ ดาวน์โหลด หรือลงทะเบียน
Conversion Rate นี่แหละ คือ KPI สำคัญที่สุดถ้าเป้าหมายของคุณคือการขาย
อีเมลมาร์เก็ตติ้ง (Email Marketing)
การเริ่มต้นเก็บอีเมลลูกค้าและสร้างรายชื่อผู้ติดตาม (Email List) ควรเป็นสิ่งแรก ๆ ที่คุณทำเมื่อเริ่มวางกลยุทธ์การตลาด เพราะนี่คือช่องทางที่ให้คุณ สื่อสารกับลูกค้าได้โดยตรง และควบคุมได้เอง 100%
ทุกวันนี้มีแพลตฟอร์มให้เลือกใช้เยอะมาก ทั้งแบบฟรีและเสียเงิน ยกตัวอย่างเช่น:
- Mailchimp – ใช้ได้ฟรีสูงสุด 500 รายชื่อ
- Wishpond – ให้ฐานข้อมูลลีดฟรี 1,000 รายชื่อ พร้อมระบบอัตโนมัติที่ทรงพลังกว่า
อีเมลมาร์เก็ตติ้งอาจดูเหมือนง่าย เพราะคุณส่งหาลูกค้าได้โดยตรง แต่ต้องระวังเรื่อง “อีเมลขยะ (Spam)” เพราะถ้าเนื้อหาไม่น่าสนใจหรือดูเหมือนโฆษณาเกินไป อัตราการเปิดอ่านจะต่ำมาก
ถ้าคุณอยากให้แคมเปญอีเมลเวิร์กและช่วยสร้างยอดขายได้จริง ต้อง ติดตามตัวชี้วัดสำคัญ (KPI) อย่างใกล้ชิด
ตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPIs)
แน่นอนว่าต้องดู Click-Through Rate (CTR) และ Conversion Rate เป็นหลัก แต่ยังมี KPI อื่น ๆ ที่ช่วยให้คุณเข้าใจ “คุณภาพของรายชื่อ” และ “ความแม่นยำของข้อความ” ได้ลึกขึ้น เช่น
- Bounce Rate:
เปอร์เซ็นต์ของอีเมลที่ส่งไปแล้ว “ตีกลับ” เพราะส่งไม่ถึงผู้รับ (เช่น ที่อยู่อีเมลผิด หรือโดนระบบกันสแปม) ถ้าค่านี้สูง แปลว่าเนื้อหาคุณไปไม่ถึงคนจริง ๆ - List Growth Rate:
ความเร็วในการเติบโตของรายชื่ออีเมล รายชื่อควร “โตเรื่อย ๆ” พร้อมกับการขยายตัวของแบรนด์ ถ้ารายชื่อเริ่มลดลงเรื่อย ๆ อาจแปลว่าคอนเทนต์ไม่เวิร์ก หรือลูกค้าไม่อยากรับอีเมลจากคุณแล้ว
การพัฒนากลยุทธ์การตลาดแบบข้ามช่องทาง (Cross-Channel Marketing Strategy)

ตอนนี้คุณเข้าใจภาพรวมของการโฆษณาออนไลน์ในหลายรูปแบบแล้ว ขั้นต่อไปก็คือการวางแผน ให้แต่ละช่องทางทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแนวคิดนี้ก็คือ Omni-Channel หรือ Cross-Channel Marketing นั่นเอง
รูปแบบของโฆษณาและข้อความที่ใช้จะขึ้นอยู่กับว่า ลูกค้าอยู่ในขั้นตอนไหนของการตัดสินใจซื้อ ยิ่งลูกค้ารู้จักและไว้ใจแบรนด์มากขึ้นเท่าไหร่ ข้อความก็ต้องยิ่ง “เฉพาะเจาะจง” และ “ตรงจุด” มากขึ้นเท่านั้น
Multichannel Marketing คืออะไร?
การตลาดหลายช่องทาง (Multichannel Marketing) คือการพยายามเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจากหลายทางพร้อมกัน เช่น
- SEO (การค้นหาแบบออร์แกนิก)
- โฆษณาแบบ PPC หรือ Display Ads
- โซเชียลมีเดีย
- คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง
- วิดีโอมาร์เก็ตติ้ง
- อีเมลมาร์เก็ตติ้ง
แค่มีเว็บไซต์หรือยิงแอดนิดหน่อยแล้วรอลูกค้า ไม่พออีกต่อไปแล้ว คุณต้องไปอยู่ให้ถูกที่ ถูกเวลา พร้อมข้อมูลที่ใช่สำหรับแบรนด์
“ความสม่ำเสมอ” คือหัวใจของกลยุทธ์ข้ามช่องทาง
ไม่ว่าคุณจะใช้ช่องทางไหน หรือส่งข้อความแบบใด ทุกสิ่งควรมีสไตล์ที่สอดคล้องกัน เช่น สี ฟอนต์ น้ำเสียงของข้อความ ฯลฯ เพราะลูกค้าจะไม่ซื้อจากคุณแค่ครั้งแรกที่เห็นโฆษณา บางทีต้องเห็นหลายรอบก่อนจะเริ่มสนใจจริงจัง
วิธีรักษาความสม่ำเสมอ:
- สร้าง Style Guide สำหรับแบรนด์
- ฟอนต์
- สีประจำแบรนด์
- ขนาดและการใช้งานโลโก้
- แนวทางการเขียนและสื่อสาร (Editorial Tone)
- ฟอนต์
- ทำให้ภาพที่ใช้ในทุกแพลตฟอร์ม “กลมกลืนกัน”
- ถ้าต้องเปลี่ยนภาพ ควรรักษาโทนและอารมณ์ให้ใกล้เคียงเดิม
ทำความเข้าใจ “Sales Funnel” หรือกรวยการขาย
ลองนึกถึงกระบวนการซื้อของลูกค้าเหมือนการกรองคนผ่านกรวย ด้านบนกว้างคนรู้จักแบรนด์ครั้งแรก ตรงกลางเริ่มสนใจและเปรียบเทียบ และปลายกรวยตัดสินใจซื้อ
- Top of Funnel (TOFU) – ช่วง Awareness
- ลูกค้าเพิ่งรู้จักแบรนด์
- ใช้ PPC, SEO, หรือโพสต์กว้าง ๆ บนโซเชียล เพื่อดึงคนเข้ามาเยอะที่สุด
- ลูกค้าเพิ่งรู้จักแบรนด์
- Middle of Funnel (MOFU) – ช่วง Consideration
- เริ่มพิจารณาว่าจะซื้อดีไหม
- เน้นคอนเทนต์ที่ให้รายละเอียด เปรียบเทียบจุดเด่น จุดต่าง ราคาบางส่วน
- เริ่มพิจารณาว่าจะซื้อดีไหม
- Bottom of Funnel (BOFU) – ช่วง Decision/Purchase
- พร้อมจะซื้อ หรือเคยซื้อแล้ว
- รีทาร์เก็ต แสดงรีวิวจริง หรือเสนอข้อเสนอพิเศษ
- พร้อมจะซื้อ หรือเคยซื้อแล้ว
เคล็ดลับการทำ Cross-Channel แบบมืออาชีพ
- วิเคราะห์ข้อมูลจากแคมเปญ PPC เช่น คีย์เวิร์ดและข้อความที่คนคลิกบ่อย → เอามาใช้กับ SEO และโพสต์โซเชียล เพื่อให้สื่อสารตรงใจ
- อย่าลืมเรื่องการจัดวางภาพและขนาดที่เหมาะสมในแต่ละแพลตฟอร์ม → แบนเนอร์อีเมล vs. โฆษณา Facebook มีสัดส่วนที่ต่างกัน
- ทำ Cross-promotion:
→ โปรโมตคอนเทนต์ของเว็บในอีเมล
→ แชร์บทความจากบล็อกลงโซเชียล
→ ทำ Infographic จากคอนเทนต์เดิมที่ยังใช้ได้ (Evergreen Content) - เชื่อมแต่ละช่องทางเข้าหากัน:
→ หน้า Landing Page จาก SEO หรือ PPC ใช้ดักอีเมล
→ รายชื่ออีเมลเอาไปทำ Custom Audience บน Facebook Ads ได้ - พยายามดึง “Top-of-Funnel Traffic” จากหลายแหล่งไปที่เนื้อหาหลัก → ยิ่งเนื้อหานั้นดีและสอดคล้อง ก็ยิ่งมีโอกาสแปลงเป็นยอดขาย
AI ช่วยวางกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลได้อย่างไร

AI ไม่ได้แค่ฉลาดอย่างเดียว แต่ยังเป็นผู้ช่วยสุดเจ๋งทั้งด้านการ “วางแผน” และ “ลงมือทำ” แคมเปญการตลาดดิจิทัล โดยเฉพาะเรื่อง ระบบอัตโนมัติ การปรับให้เหมาะกับแต่ละคน การวิเคราะห์ข้อมูล และไอเดียสร้างสรรค์
ลองมาดูกันว่า AI เข้ามาช่วยในแต่ละด้านของการตลาดดิจิทัลได้ยังไงบ้าง
เข้าใจลูกค้าและวิเคราะห์ข้อมูลได้แม่นยำขึ้น
AI เก่งเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลล่วงหน้าแบบ Predictive Analytics เพราะมันสามารถ “คาดการณ์” พฤติกรรมการซื้อของลูกค้าในอนาคตจากข้อมูลที่ผ่านมา
อัลกอริทึม Machine Learning คือสมองของ AI ซึ่งจะช่วยหาพฤติกรรมที่เกิดซ้ำ ๆ และแบ่งกลุ่มลูกค้าได้แม่นยำกว่าเดิม
นอกจากนี้ AI ยังสามารถวิเคราะห์ความคิดเห็นของผู้คนที่มีต่อแบรนด์หรือสินค้าได้จากโพสต์ในโซเชียลมีเดียและรีวิวต่าง ๆ อีกด้วย
มอบประสบการณ์เฉพาะตัวให้กับลูกค้า
AI ยังเป็นมือวางอันดับหนึ่งด้าน Personalization เช่น แนะนำสินค้าที่ลูกค้าน่าจะชอบจากพฤติกรรมการเข้าเว็บไซต์หรือการซื้อที่ผ่านมา เช่น Shopee และ Lazada แถมยังปรับเนื้อหาในเว็บไซต์และอีเมลให้เข้ากับพฤติกรรมของแต่ละคนอีกต่างหาก
ส่วน Chatbot ก็ถือเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ ให้บริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง และเรียนรู้จากทุกการสนทนาเพื่อพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ
ช่วยสร้างคอนเทนต์ได้หลากหลายกว่าที่คิด
AI ไม่ได้มีดีแค่เรื่องข้อมูล แต่ยังช่วยสร้างคอนเทนต์ได้เพียบ เช่น ใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT ในการเขียนบล็อก แคปชันโซเชียล คำบรรยายสินค้า หรือแม้แต่อีเมลต่าง ๆ
นอกจากนี้ AI ยังช่วยทดสอบประสิทธิภาพของคอนเทนต์ เช่น ลองเปลี่ยนพาดหัว ลองคำโปรยหลายเวอร์ชัน หรือเขียนอีเมลหลากรูปแบบ เพื่อดูว่าแบบไหนได้ผลดีที่สุด
จะสื่อสารระดับสากลก็ไม่หวั่น เพราะ AI แปลภาษาได้หลายภาษา แถมยังปรับโทนให้เข้ากับวัฒนธรรมของแต่ละประเทศได้ด้วย
โฆษณาแม่นยำขึ้น พร้อมจัดการงบแบบอัจฉริยะ
AI สามารถวางแผนลงโฆษณาและกำหนดกลุ่มเป้าหมายแบบเรียลไทม์จากข้อมูลผู้ใช้จริง และที่เจ๋งกว่านั้นคือ มันช่วยหากลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีพฤติกรรมคล้ายกับลูกค้าชั้นดีของเรา เรียกว่า “ขยายฐาน” แบบคุ้มค่า
AI ยังวิเคราะห์ผลตอบแทนจากแต่ละแคมเปญ และปรับงบประมาณไปลงกับแคมเปญที่เวิร์กที่สุดแบบอัตโนมัติ เรียกได้ว่าเป็น win-win ทั้งเวลาและเงิน
ทำงานไวขึ้นด้วยเครื่องมือเด็ดจาก Shutterstock

คลังเครื่องมือและทรัพยากรของ Shutterstock นั้นเรียกได้ว่าแทบจะไร้ขีดจำกัดเลยทีเดียว แต่เพื่อให้ใช้งานง่ายขึ้น เราได้รวบรวมรายการเฉพาะมาให้คุณแล้ว ใช้เป็นตัวช่วยตอนวางกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลได้สบายมาก
ข่าวดีคือทุกอย่างที่เรารวบรวมมานี้ใช้ฟรีหมด และใช้ง่ายมากด้วย
เครื่องมือด้านการตลาด
- ROAS Calculator: คำนวณผลตอบแทนจากงบโฆษณา (ROAS) ใช้ได้กับแพลตฟอร์มหลักอย่าง Google, Facebook, Instagram ฯลฯ
- CPM Calculator: คำนวณต้นทุนโฆษณาต่อ 1,000 การแสดงผล (CPM)
- UTM Builder: สร้างลิงก์แบบติดแท็กเพื่อติดตามแคมเปญผ่าน Google Analytics ได้ง่าย ๆ
เครื่องมือด้านภาพ
- Social Media Image Resizer: ปรับขนาดภาพให้เหมาะกับแต่ละโซเชียล แค่เลือกแพลตฟอร์มแล้วดาวน์โหลด
- Image Resizer: ย่อหรือขยายภาพตามขนาดที่ต้องการ
- Image Compressor: ลดขนาดไฟล์ภาพเพื่อให้โหลดเร็วขึ้นและประหยัดพื้นที่
- Photo Editor: ตกแต่งภาพแบบมืออาชีพ ครอป ใส่ฟิลเตอร์ ปรับแสง และอื่น ๆ ได้ครบ
คลังภาพและวิดีโอ
- Image Library: ภาพกว่า 450 ล้านไฟล์ในหมวดต่าง ๆ ให้เลือกใช้ตามสไตล์
- Video Library: วิดีโอกว่า 28 ล้านคลิป ช่วยเพิ่มยอดเข้าชมโพสต์ได้มากขึ้น
ความฝันอันยิ่งใหญ่ เริ่มจากจุดเล็ก ๆ
เมื่อเริ่มทำการตลาดออนไลน์ สิ่งที่ต้องทำคือวางแผนธุรกิจภาพรวม และตั้งเป้าหมายสำหรับการตลาดของคุณเอง แต่ในช่วงแรก ควรฝันให้ใหญ่แต่ยังต้องใส่ใจรายละเอียด อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในครั้งเดียว
ลองเริ่มจากมองหาปัญหาหรือเรื่องที่กังวลที่สุดก่อน แล้วคิดหาวิธีแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนกับโฆษณา PPC หรือเลือกใช้เครื่องมือช่วยขยายธุรกิจออนไลน์ของคุณ ค่อย ๆ ก้าวไปทีละนิดในทุกวัน เพื่อให้ธุรกิจเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
อย่าท้อใจ ลองศึกษาวงการของคุณ คู่แข่ง และพฤติกรรมลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาธุรกิจให้ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ
Google เองก็ไม่ได้ถูกสร้างเสร็จในวันเดียว แต่ผลลัพธ์จากการค้นหาของ Google ช่วยให้คุณก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วในเสี้ยววินาที
ถ้าท่านใดสนใจอยากใช้เครื่องมือเหล่านี้ หรืออยากใช้ภาพ วิดีโอ เพลง 3D หรือ AI จาก Shutterstock สามารถติดต่อพวกเรา Number 24 ได้ที่
Inbox : http://m.me/number24.co.th
LINE Official Account : https://line.me/R/ti/p/@klj9484n
Instagram : https://www.instagram.com/number24.co.th
Website : https://number24.co.th/