สมัยก่อนการเล่าเรื่องด้วยภาพ (หรือที่เราเรียกกันว่า Visual StoryTelling) เป็นอะไรที่ต้องแลกมาด้วยเวลา เหงื่อ และบางทีก็หยดน้ำตา เพราะมันใช้ทั้งแรงคน ทั้งเงิน ทั้งไอเดียเยอะมาก แต่ยุคนี้ AI เข้ามาเปลี่ยนเกมเรียบร้อยแล้ว ทั้งเร็ว ทั้งยืดหยุ่น แถมยังปรับให้เหมาะสมกับคอนเทนต์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะทำคอนเทนต์ภาพ วิดีโอ หรือแคมเปญโฆษณา ก็เหมือนมีผู้ช่วยอัจฉริยะคอยอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา
แต่ใช่ว่าโลกของ AI + Creativity จะโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เพราะเครื่องมือเจ๋ง ๆ สมัยนี้นี้เริ่มเข้ามามีบทบาทช่วย “เล่าเรื่อง” แทนมนุษย์มากขึ้น ทำให้เกิดคำถามใหม่ ๆ ตามมาแบบรัว ๆ เลยว่า
- เราควรใช้ AI ยังไงให้ไม่ทับเส้นจริยธรรม?
- ความคิดสร้างสรรค์แบบดั้งเดิมจะหายไปมั้ย?
- คนทำงานสาย Creative ยังจำเป็นอยู่มั้ยในโลกที่ AI ก็เขียนบทเองได้?
คุณ Connie Guglielmo (นักข่าวสายเทคโนโลยีตัวแม่) และ Chris Zacharias (กูรูด้านภาพดิจิทัล) จะมาช่วยเปิดมุมมองความคิดใหม่ ๆ ว่าเราจะอยู่ร่วมกับ AI อย่างไรให้มีความครีเอทีฟมากกว่าเดิม ไม่ใช่แค่รอด…แต่รุ่ง!

1. Storytelling เปลี่ยนภาพเดียวให้เล่าเรื่องไม่รู้จบ
หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่ AI มอบให้กับวงการ StoryTelling ก็คือการ “รีดคุณค่า” จากภาพเพียงภาพเดียวได้แบบไร้ขีดจำกัด แทนที่จะมองว่าภาพถ่ายเป็นแค่ของชิ้นเดียวตายตัว ตอนนี้ระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถสร้างเวอร์ชันใหม่ ๆ ได้ไม่รู้จบ เปลี่ยนฉากหลัง ขยายขอบภาพ ใส่แอนิเมชัน หรือแม้แต่สร้างฉากใหม่ขึ้นมาทั้งหมดจากจินตนาการ
สำหรับสายธุรกิจ สิ่งนี้สามารถทำให้เราสร้างคอนเทนต์ได้เร็วขึ้น ปรับให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น และเล่าเรื่องได้ทรงพลังยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องเพิ่มทรัพยากรให้บานปลายเหมือนเมื่อก่อน
ช่วยให้เราปรับภาพหนึ่งภาพให้เหมาะกับหลายแพลตฟอร์ม หลายกลุ่มเป้าหมายได้แบบทันใจ อีกทั้งยังช่วยรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ได้อย่างแนบเนียน เพิ่มการมีส่วนร่วม และที่สำคัญ ทำให้ StoryTelling ของแบรนด์มีชีวิตชีวากว่าที่เคย
2. AI เก่งแค่ไหนก็ต้องมีมนุษย์คอยคุม
ถึง AI จะช่วยให้ทำงานเร็วขึ้นแบบเห็นผลทันตา แต่คุณ Connie Guglielmo ก็เน้นชัดว่า “มนุษย์” ยังคงมีบทบาทสำคัญอยู่ดี เพราะแม้ AI จะเก่งแค่ไหน จะช่วยคิด ปรับ หรือสร้างระบบอัตโนมัติให้ได้หมด แต่มันก็ยังไม่เข้าใจความลึกซึ้งของตัวตนแบรนด์ ความรู้สึกของคนดู หรือประเด็นจริยธรรมได้แบบที่มนุษย์เข้าใจ
ไม่มี AI ตัวไหนเพอร์เฟกต์ 100% แม้แต่ระบบที่ล้ำสุดก็ยังเคยสร้างผลงาน “แปลก ๆ” หรือหลุดบริบทไปบ้าง การมีมนุษย์ร่วมในกระบวนการเลยยังจำเป็น เพื่อให้แน่ใจว่าการตัดสินใจเชิงสร้างสรรค์ยังคงมาจากมนุษย์ เข้ากับเป้าหมายของแบรนด์ และไม่พลาดในแง่กฎหมายหรือวัฒนธรรม
แทนที่ AI จะมาแย่งงานครีเอทีฟ มันกลับช่วย “ขยายพลังความคิดสร้างสรรค์” ของมนุษย์ให้ไปได้ไกลกว่าเดิมต่างหาก ทีมครีเอทีฟสามารถโฟกัสกับการเล่าเรื่องระดับสูงได้เต็มที่ ปล่อยให้ AI จัดการงานจุกจิก ซ้ำซาก หรือใช้แรงเยอะไปแทน
เพราะสุดท้ายแล้ว…ในโลกของ StoryTelling ที่ดี “หัวใจมนุษย์” ยังไงก็ต้องมาก่อน
3. เดินหน้าอย่างสร้างสรรค์ แต่อย่าลืมความรับผิดชอบ
ในโลกที่ AI วิ่งไวกว่าไอเดีย หลายคนตื่นเต้นกับความสามารถของมันที่สามารถ “สร้างได้แทบทุกอย่าง” แต่…แค่ทำได้ ไม่ได้แปลว่าควรทำเสมอไป
ประเด็นเรื่องลิขสิทธิ์ ความเป็นเจ้าของ และความน่าเชื่อถือของเนื้อหากำลังกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ลองนึกภาพว่าแบรนด์หนึ่งใช้ภาพหรือสไตล์ที่คล้ายของศิลปินชื่อดังโดยไม่ได้ขออนุญาต มันอาจดูเร็ว สวย และถูกใจลูกค้าในระยะสั้น แต่ถ้าเจ้าของตัวจริงรู้เข้าเมื่อไหร่ งานเข้าแน่นอน ทั้งเสียภาพลักษณ์ เสียเครดิต และอาจเสียเงินอีกต่างหาก
วิธีใช้ AI ไม่ใช่แค่ใช้มันให้เก่ง แต่ต้องใช้มันให้ “ถูก” ด้วย แบรนด์ควรเทรนโมเดลจากคอนเทนต์ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง หรือสร้างจากต้นทางของตัวเอง รวมถึงวางกฎชัด ๆ ว่าอะไรทำได้ อะไรไม่ควรแตะ เพื่อความโปร่งใสและปลอดภัยในระยะยาว
ดังนั้นถ้าอยากให้ StoryTelling ของคุณยังสนุก สด และอยู่รอดในระยะยาว อย่าลืมว่า “ความรับผิดชอบ” ก็ต้องเดินไปพร้อมกับ “ความสร้างสรรค์” เสมอ
4. บอกไปเลยว่าภาพนี้ AI ทำ
ทุกวันนี้ความไว้ใจในคอนเทนต์รูปภาพเริ่มมีความเสี่ยง จากพวก deepfake และข้อมูลเท็จที่ AI ปั้นขึ้นมาได้แบบแนบเนียนจนน่าตกใจ แล้วพอ AI เก่งขึ้นเรื่อย ๆ จนแยกของจริงกับของแต่งแทบไม่ออก สิ่งที่สำคัญมากขึ้นก็คือ “ความโปร่งใส” โดยเฉพาะเวลาคุณใช้ AI ช่วยเล่าเรื่อง
แม้ตอนนี้จะยังไม่มีมาตรฐานกลางสำหรับการเปิดเผยว่า “ภาพนี้ใช้ AI ทำนะ” แต่แบรนด์ต่าง ๆ ก็เริ่มลงมือนำร่องด้วยวิธีง่าย ๆ คือการใส่ป้ายกำกับว่าภาพนี้ AI มีส่วนช่วย ใส่ลายน้ำเบา ๆ หรือแนบเครดิตว่าใช้เครื่องมืออะไรในการสร้างภาพ ทั้งหมดนี้จะช่วยให้คนดูรู้สึกว่าแบรนด์จริงใจ ไม่ได้พยายามหลอก
Connie Guglielmo ยังยกตัวอย่างที่น่าสนใจ อย่างแบรนด์ Dove ที่ตั้งใจนำเสนอแนวทางการใช้ AI อย่างชัดเจน สิ่งเหล่านี้ทำให้คนรู้สึกเชื่อใจแบรนด์ได้มากขึ้น
เพราะในโลกของ StoryTelling ความน่าเชื่อถือคือทุกอย่าง การบอกความจริงตั้งแต่ต้น ช่วยให้แบรนด์ดูโปร่งใส มืออาชีพ มีจริยธรรม และไม่เสี่ยงเจอดราม่าทีหลัง
5. ให้มนุษย์นำแต่ AI ช่วยขับเคลื่อน
ถึง AI จะเทพขนาดไหน แต่เอาเข้าจริง มันไม่ได้ “คิดอะไรใหม่” จากศูนย์ มันแค่เอาสิ่งที่เคยเห็นมาผสม มาจัดเรียงใหม่ตามสิ่งที่เรียนรู้มาเท่านั้น ส่วน “ความคิดสร้างสรรค์ของแท้” ที่มาจากจินตนาการ ความรู้สึก และวิสัยทัศน์น่ะยังคงเป็นของมนุษย์ล้วน ๆ
ดังนั้น แทนที่จะมอง AI เป็นคู่แข่ง คนทำงานครีเอทีฟควรมองมันเป็นเพื่อนร่วมทีม ที่ช่วยขยายขอบเขตแห่งการเล่าเรื่องให้กว้างขึ้นหรืออย่างที่คุณ Chris Zacharias พูดไว้สวย ๆ ว่า “AI ช่วยเพิ่มพื้นที่แห่งความคิดสร้างสรรค์ ให้กว้างกว่าเดิม”
ไอเดียบางอย่างที่เมื่อก่อนคิดได้แต่ทำไม่ได้ เพราะติดงบ ติดเวลา หรือมันดูเกินจริงไปหน่อย ตอนนี้กลับกลายเป็นจริงได้ด้วยพลังของ AI อนาคตจะเป็นของคนที่เปิดรับความเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ใช่มาแทนที่ความอัจฉริยะของมนุษย์ แต่เพื่อขยายมันให้ไกลกว่าเดิม
ในโลกของ StoryTelling วันนี้ AI ไม่ได้มาแย่งบทบาทของคนทำคอนเทนต์ แต่มาเป็นพลังเสริมให้เราเล่าเรื่องได้ เร็วขึ้น ลึกขึ้น และสร้างสรรค์กว่าเดิม แถมยังเปิดโอกาสให้ไอเดียที่เคยเป็นไปไม่ได้ กลายเป็นจริงได้ในพริบตา
สิ่งสำคัญคือ “การเปิดใจ” ให้กับเครื่องมือสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ พร้อมกับไม่ลืมว่า มนุษย์ยังคงเป็นหัวใจของเรื่องราวเสมอ สำหรับแบรนด์หรือครีเอเตอร์ที่อยากก้าวทันโลกของการเล่าเรื่องยุคใหม่ อย่าหยุดแค่ใช้ AI ให้เก่ง แต่ต้องใช้ให้เป็นอย่างมีเป้าหมาย มีจริยธรรม และมีความหมายด้วย
พบกับบทความดี ๆ เกี่ยวกับ AI แบบนี้อีกมากมายที่ https://number24.co.th/blog-category/shutterstock-ai/